วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

สถาปัตยกรรมไม้ ที่งดงามที่สุดในภาคอีสาน
หอไตรวัดทุ่ง ศรีเมือง
              หอไตรมีชื่อเรียกเต็ม ๆ ว่าหอพระไตรปิฎก เป็นสถานที่เก็บรักษาคัมภีร์พระธรรมวินัยและตำราวิชาการด้านพระพุทธศาสนา ซึ่งในสมัยก่อนมีเป็นจำนวนน้อย เพราะไม่สามารถผลิตได้ทีละมาก ๆ เนื่องจากต้องคัดลอกหรือจารขึ้นด้วยมือ อาคารที่สร้างขึ้นจึงมีลักษณะมิดชิดเป็นพิเศษ โครงสร้างแข็งแรงและมีขนาดเล็ก สร้างด้วยเครื่องไม้ลักษณะเป็นเรือนไทย ส่วนใหญ่จะสร้างอยู่กลางสระน้ำ เพื่อป้องกันหนู ปลวก มด และแมลงที่จะมาทำลายหนังสือสมุดไทยหรือใบลานผูก นอกจากนี้ ไอชื้นจากสระน้ำที่อยู่ใต้อาคารและโดยรอบจะช่วยให้อาคารชุ่มเย็น เป็นการรักษาใบลานและเอกสารสำคัญให้มีอายุยืนนานกว่าปกติ ส่วนหอไตรที่สร้างบนพื้นราบนั้นมักจะทำใต้ถุนสูง ไม่มีบันได เมื่อใช้จึงจะนำบันไดมาพาดอีกทีหนึ่ง

                 หอไตรวัดทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลราชธานี เป็นหนึ่งในหอไตรของภาคอีสานที่งดงามที่สุด แตกต่างจากหอไตรแห่งอื่น ๆ ด้วยลักษณะของศิลปะผสมระห่าง ๓ สกุลช่าง คือ ไทย พม่า และลาว กล่าวคือ มีลักษณะตัวอาคารเป็นแบบไทย ประกอบด้วยเรือนฝาปะกนขนาด ๔ ห้อง ผนังภายในห้องเขียนลายลงรักปิดทอง มีรูปทวารบาลอยู่ที่บานหน้าต่างและบานประตูที่ทำด้วยไม้แผ่นเดียว ส่วนของหลังคาเป็นศิลปะไทยผสมพม่า มีช่อฟ้า ใบระกาแบบไทย ส่วนหลังคาซ้อนกันหลายชั้นเป็นศิลปกรรมแบบพม่า และลวดลายแกะสลักบนหน้าบันทั้งสองด้านเป็นลักษณะศิลปะลาวที่ทำด้วยฝีมือช่าง ชั้นสูง หอไตรแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๔ และได้รับรางวัลผลงานอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดีเด่นจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๗ นอกจากนี้ ยังได้ชื่อว่าเป็น ๑ ใน ๓ ของดีเมืองอุบลฯ สมัยก่อน จนมีคำกล่าวติดปากกันต่อ ๆ มาว่า “พระบาทวัดกลาง พระบางวัดใต้ หอไตรวัดทุ่ง”

 ในส่วนของวัดทุ่งศรีเมืองอันเป็นที่ตั้งของหอไตรอันงดงามนี้ เป็นวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองอุบลราชธานีมาแต่สมัยโบราณ ก่อตั้งขึ้นราว พ.ศ. ๒๓๘๕ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ โดยญาครูช่าง พระสงฆ์ชาวเวียงจันทน์ มีพื้นที่ ๑๙ ไร่ ๒๓ ตารางวา เดิมเป็นทุ่งนา จึงได้นามว่าวัดทุ่งศรีเมืองตามประวัติกล่าวว่า ผู้สร้างวัดนี้คือท่านเจ้าคุณพระอริยวงศาจารย์ ญาณวิมล อุบลสังฆปาโมกข์ (สุ้ย หลักคำ) เจ้าคณะเมืองอุบลราชธานีรูปแรกเนื่องจากท่านเคยมาธุดงค์อยู่ ณ ที่แห่งนี้เนือง ๆ จึงได้สร้างวัดบริเวณนี้เริ่มด้วยการสร้างสิมหรือพระอุโบสถ ซึ่งเดิมเรียกว่าหอพระบาท ต่อมาจึงได้สร้างหอไตรกลางน้ำและกุฏิพระสงฆ์สามเณรขึ้นอีก

          ภายในวัดทุ่งศรีเมืองนอกจากจะมีหอไตรกลางน้ำอันน่าชมแล้วยังมีหอ พระบาทหรือพระอุโบสถ ซึ่งสร้างแบบสถาปัตยกรรมผสมระหว่างศิลปะเวียงจันทน์และศิลปะรัตนโกสินทร์ เพื่อประดิษฐานพระพุทธบาทจำลองจากวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ส่วนที่เป็นศิลปะแบบเวียงจันทน์ได้แก่โครงสร้างช่วงล่าง เช่น ฐานเอวขันธ์ บันไดจระเข้ และเฉลียงด้านหน้า ส่วนที่เป็นศิลปะแบบรัตนโกสินทร์ได้แก่ช่วงบน เช่น ช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์ ภายในหอพระบาทมีภาพจิตรกรรมฝาผนังอันเก่าแก่ทั้ง ๔ ด้าน เป็นภาพเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติและทศชาติ ภาพวิถีชีวิตของผู้คนพลเมืองทั้งชาวไทยและชาวจีนที่มีบ้านเรือนอยู่ริมน้ำ และชีวิตผู้คนภายในรั้ววัง รวมทั้งภาพอาคารสถาปัตยกรรมแบบจีน อันเป็นศิลปะที่นิยมสร้างกันมากในสมัยรัชกาลที่ ๓ สิ่งที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันมากภายในวัดนี้ก็คือ พระเจ้าใหญ่ศรีเมือง ซึ่งเดิมเป็นพระประธานที่วัดเหนือท่า เมื่อวัดร้างจึงได้อัญเชิญมาประดิษฐานที่ศาลาการเปรียญและวิหารศรีเมืองของ วัด เป็นพระพุทธรูปที่มีพระพักต์งดงามคล้ายคลึงพระเหลาเทพนิมิต อำเภอพนา จังหวัดอำนาจเจริญ

          หอไตรวัดทุ่งศรีเมืองได้รับการบูรณะมาแล้วหลายครั้ง คนถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๗ กรมศิลปากรจัดงบประมาณมาสนับสนุนในการบูรณะอีก ตัวอาคารส่วนรวมจึงมีสภาพดีและอยู่เป็นศรีเมืองอุบลราชธานีมาตราบเท่าทุก วันนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น