วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ดูหมาแพนดี้หมีแพนด้ากับน้องมาร์คคร้าบ ผม






วันนี้พาดูหมาแพนดี้ หมีแพนด้าที่เชียงใหม่ครับ

บรรยากาศในสวนสัตว์เชียงใหม่ครับ

เจอหมีแพนด้าแล้วครับ

ความสุขที่ยิ่งใหญ่ของหัวใจดวงเล็ก ๆ

สนุกมากเลยครับ
ได้เวลากลับบ้านแล้วบ๊าย บ๊าย สุขสันต์วันเกิดครบ 1 ขวบปีด้วยน่ะครับหลิงปิง

วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

"เวียนเทียนกลางน้ำ หนึ่งเดียวในโลก ที่กว๊านพะเยา"


จังหวัดพะเยา จัดกิจกรรม "เวียนเทียนกลางน้ำ หนึ่งเดียวในโลก ที่กว๊านพะเยา" 1 ปี มีเพียง 3 ครั้ง เฉพาะวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา คือ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา และวันอาสาฬหบูชา
ขอเชิญพุทธศาสนิกชน และ นักท่องเที่ยว ลงเรือไปกราบสักการะหลวงพ่อศิลา พระพุทธรูปเก่าแก่ อายุกว่า 500 ปี ประดิษฐานอยู่ ณ วัดติโลกอาราม กลางกว๊านพะเยา พร้อมนั่งเรือเวียนเทียน 3 รอบ
โดยวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ปี 2553 ตรงกับ วันมาฆบูชา , วันที่ 28 พฤษภาคม 2553 ตรงกับ วันวิสาขบูชา และสุดท้าย วันที่ 26 กรกฎาคม 2553 ตรงกับ วันอาสาฬหบูชา
โดย ณ ท่าเรือวัดติโลกอาราม ถ.ชายกว๊าน จะมีเรือพายให้บริการตลอดทั้งวัน ทั้งนี้ ช่วงเวลาที่มีทัศนียภาพสวยงามที่สุด คือ ช่วงตะวันตกดิน หรือ ประมาณ 18.00 น. เป็นต้นไป

ทางการเดินทาง


จากแยกประตูชัยเข้าสู่ตัวเมืองพะเยาใช้ถนน

ประตูชัย ต่อด้วยถนนพหลโยธินไปจนถึงธนาคาร

กสิกรไทยเลี้ยวซ้ายลงสู่ถนนท่ากว๊าน วิ่งเลาะ

ริมกว๊านจนถึงท่าเรือแจว ข้ามไปวัดติโลกอาราม

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม :
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย โทร. 0-5371-7433, 0-5374-4674-5

สายด่วนท่องเที่ยว 1672

ขอขอบคุณข้อมูลการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
http://thai.tourismthailand.org/festival-event/grand-content-7644.html

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วันวิสาขบูชา

วันวิสาขบูชา ตรงกับวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ หรือราวเดือนพฤษภาคม แต่หากตรงกับปีอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหน วันวิสาขบูชาจะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ กลางเดือน ๗ หรือราวเดือนมิถุนายน
วิสาขบูชา ย่อมาจากคำว่า “วิสาขปุรณมีบูชา” แปลว่า การบูชาพระในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ (คือเดือน ๖) ซึ่งมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น ๓ ประการ ในวันวิสาขบูชา ดังนี้
ประสูติ
๑. เป็นวันประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ณ ลุมพินีสถาน เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ตรงกับวันศุกร์ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีจอ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี เมื่อพระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพระครรภ์แก่จวนจะประสูติ พระนางได้รับพระบรมราชานุญาต จากพระสวามี ให้แปรพระราชฐานไปประทับ ณ กรุงเทวทหะ ซึ่งเป็นพระนครเดิมของพระนาง เพื่อประสูติในตระกูลของพระนางตามประเพณีนิยมในสมัยนั้น ขณะเสด็จแวะพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน พระนางก็ได้ประสูติพระโอรส ณ ใต้ต้นสาละนั้น ครั้นพระกุมารประสูติได้ ๕ วัน ก็ได้รับการถวายพระนามว่า "สิทธัตถะ" ซึ่งต่อมาพระองค์ได้ออกบวช จนบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ (ญาณอันประเสริฐสูงสุด) สำเร็จเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า จึงถือว่าวันนี้เป็นวันประสูติของพระพุทธเจ้า

ตรัสรู้

๒. เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อนุตตรสัมโพธิญาณ ณ ร่มพระศรีมหาโพธิบัลลังก์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี

การตรัสอริยสัจสี่ คือของจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ ของพระพุทธเจ้า เป็นการตรัสรู้อันยอดเยี่ยม ไม่มีผู้เสมอเหมือน วันตรัสของพระพุทธเจ้า จึงจัดเป็นวันสำคัญ เพราะเป็นวันที่ให้เกิดมีพระพุทธเจ้าขึ้นในโลกชาวพุทธทั่วไป จึงเรียกวันวิสาขบูชาว่า วันพระพุทธ(เจ้า) อันมีประวัติว่า พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญเพียรต่อไป ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น ทรงเริ่มบำเพ็ญสมาธิให้เกิดในพระทัย เรียกว่าการเข้า "ฌาน" เพื่อให้บรรลุ "ญาณ" จนเวลาผ่านไปจนถึง ...

ยามต้น : ทรงบรรลุ "ปุพเพนิวาสานุติญาณ" คือทรงระลึกชาติในอดีตทั้งของตนเองและผู้อื่น

ยามสอง : ทรงบรรลุ "จุตูปปาตญาณ" คือการรู้แจ้งการเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลาย

ยามสาม : ทรงบรรลุ "อาสวักขญาณ" คือรู้วิธีกำจัดกิเลสด้วย อริยสัจสี่ ( ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ) ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ ซึ่งขณะนั้น พระพุทธองค์มีพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา

ธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ อริยสัจ ๔ หรือ ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ ได้แก่

๑. ทุกข์ คือ ความลำบาก ความไม่สบายกายไม่สบายใจ

๒. สมุทัย คือ เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์

๓. นิโรธ คือ ความดับทุกข์ และ

๔. มรรค คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งทุกข์
ทั้ง ๔ ข้อนี้ถือเป็นสัจธรรม เรียกว่า อริยสัจ เพราะเป็นสิ่งที่พระอริยเจ้าทรงค้นพบ เป็นสัจธรรมชั้นสูง ประเสริฐกว่าสัจธรรมสามัญทั่วไป
ปรินิพพาน
๓. เป็นวันปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ร่มไม้รัง (ต้นสาละ) คู่ ในสาลวโนทยานของมัลลกษัตริย์ ใกล้เมืองกุสินารา เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๑ ปี วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน (ดับสังขารไม่กลับมาเกิดสร้างชาติ สร้างภพอีกต่อไป) การปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ก็ถือเป็นวันสำคัญของชาวพุทธทั่วโลกเพราะชาวพุทธทั่วโลกได้สูญเสียดวงประทีปของโลก เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่และครั้งสำคัญชาวพุทธทั่วไปมีความเศร้าสลดเสียใจและอาลัยสุดจะพรรณนา อันมีประวัติว่าเมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้และแสดงธรรมมาเป็นเวลานานถึง ๔๕ ปี ซึ่งมีพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ในระหว่างนั้นทรงประชวรอย่างหนัก ครั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือน ๖ พระพุทธองค์กับพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ก็ไปรับภัตตาหารบิณฑบาตที่บ้านนายจุนทะ ตามคำกราบทูลนิมนต์ พระองค์เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะตั้งใจทำถวาย ก็เกิดอาพาธลง แต่ทรงอดกลั้นมุ่งเสด็จไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ในราตรีนั้น ได้มีปริพาชกผู้หนึ่ง ชื่อสุภัททะขอเข้าเฝ้า และได้อุปสมบทเป็นพระพุทธสาวกองค์สุดท้าย เมื่อถึงยามสุดท้ายของคืนนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงประทานปัจฉิมโอวาทว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอันว่าสังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่นให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด" หลังจากนั้นก็เสด็จเข้าดับขันธ์ปรินิพพาน ในราตรีเพ็ญเดือน ๖ นั้น
วันวิสาขบูชา จึงนับว่าเป็นวันที่มีความสำคัญสำหรับพุทธศาสนิกชนทุกคน เป็นวันที่มีการทำพิธีพุทธบูชา เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระคุณของพระองค์ ที่มีต่อปวงมนุษย์และสรรพสัตว์อันหาที่สุดมิได้
การประกอบพิธีในวันวิสาขบูชา จุดมุ่งหมายในการประกอบพิธีในวันวิสาขบูชา เพื่อรำลึกถึงพระวิสุทธิคุณพระปัญญาคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์และสรรพสัตว์ อีกทั้งเพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ทั้ง ๓ ประการ ที่มาบังเกิดในวันเดียวกัน และนำหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์มาเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติ


พุทธกิจ ๕ ประการ
๑. ตอนเช้า เสด็จออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ คือเสด็จไปโปรดจริง เพราะทรงพิจารณาเห็นตอนจวนสว่างแล้ว ว่าวันนี้มีใครบ้างที่ควรไปโปรดทรงสนทนา หรือแสดงธรรมให้ละความเห็นผิดบ้าง เป็นต้น

๒. ตอนบ่าย ทรงแสดงธรรมเทศนาแก่ประชาชนที่มาเฝ้า ณ ที่ประทับ ซึ่งปรากฏว่าไม่วาพระองค์จะประทับอยู่ที่ใด ประชาชนทุกหมู่ทุกเหล่าตลอดถึง ผู้ปกครอง นครแคว้นจะชวนกันมาเฝ้าเพื่อสดับตับพระธรรมเทศนาทุกวันมิได้ขาด

๓. ตอนเย็น ทรงเเสดงโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์ทั้งมวลที่อยู่ประจำ ณ สถานที่นั้นบางวันก็มีภิกษุจากที่อื่นมาสมทบด้วยเป็นจำนวนมาก

๔. ตอนเที่ยงคืน ทรงแก้ปัญหาหรือตอบปัญหาเทวดา หมายถึง เทพพวกต่างๆ หรือกษัตริย์ซึ่งเป็นสมมติเทพ ผู้สงสัยในปัญญาและปัญหาธรรม

๕. ตอนเช้ามืด จนสว่าง ทรงพิจารณาสัตว์โลกที่มีอุปนิสัยที่พระองค์จะเสด็จไปโปรดได้ แล้วเสด็จไปโปรดโดยการไปบิณฑบาตดังกล่าวแล้วในข้อ ๑
โดยนัยดังกล่าวมานี้พระพุทธองค์ทรงมีเวลาว่าอยู่เพียงเล็กน้อยตอนเช้าหลังเสวยอาหารเช้าแล้ว แต่ก็เป็นเวลาที่ต้องทรงต้อนรับอาคันตุกะ ผู้มาเยือนอยู่เนืองๆ เสวยน้อย บรรทมน้อย แต่ทรงบำเพ็ญพุทธกิจมาก ตลอดเวลา ๔๕ พรรษานั้นเอง ประชาชนชาวโลกระลึกถึงพระคุณของพระองค์ดังกล่าวมาโดยย่อนี้ จึงถือเอาวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ของพระองค์เป็นวันสำคัญ จัดพิธีวิสาขบูชาขึ้นในทุกประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา
ธรรมเนียมการปฏิบัติในวันวิสาขบูชา


เมื่อวันวิสาขบูชาเวียนมาถึงในรอบปี พุทธศาสนาชนไม่ว่าจะเป็นบรรพชิต (พระสงฆ์ สามเณร) หรือ ฆราวาส (ผู้ครองเรือน) ทั่วไป จะร่วมกันประกอบพิธีเป็นการพิเศษทำการสักการบูชาเพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณา พระปัญญาคุณ และพระวิสุทธิคุณ ของพระพุทธเจ้าผู้เป็นดวงประทีปโลก เมื่อวันวิสาขบูชา ซึ่งตรงในวันเดียวกัน ได้เวียนมาบรรจบอีกครั้งหนึ่งในรอบปี คือ เวียนมาบรรจบในวันเพ็ญวิสาขบูชา กลางเดือน ๖ ประมาณเดือนพฤษภาคม หรือมิถุนายนของไทยเรา ชาวพุทธทั่วโลกจึงประกอบพิธีสักการบูชา การประกอบพิธีในวันวิสาขบูชา แบ่งออกเป็น ๓ พิธี คือ

๑.พิธีหลวง (พระราชพิธี)

๒.พิธีราษฎร์ (พิธีของประชาชนทั่วไป)

๓.พิธีของพระสงฆ์ (คือพิธีที่พระสงฆ์ประกอบศาสนกิจเนื่องในวันสำคัญวันนี้)
การประกอบพิธีและบทสวดมนต์ในวันวิสาขบูชา ก็ปฏิบัติเช่นเดียวกับการประกอบพิธีในวันมาฆบูชา

๑. ทำบุญใส่บาตร กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล

๒. ไปวัดเพื่อปฏิบัติธรรม ฟังพระธรรมเทศนา

๓. ไปเวียนเทียน ร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับวันสำคัญทางพุทธศาสนา

๔. จัดแสดงนิทรรศการ ประวัติ หรือเรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับวันวิสาขบูชา

๕. ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือน วัดและสถานที่ราชการ

ขอขอบคุณข้อมูลการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อนสามารถอ่านข้อมูล
เพิ่มเติมได้ที่
http://thai.tourismthailand.org/festival-event/grand-content-5708.html

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

10 อันดับ "สวรรค์บนดิน" ตอนที่ 1 


โลกใบนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามมากมาย นอกจากจุดหมายปลายทางสุดฮอต เช่น อิตาลี ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ มัลดีฟส์ บาหลี ฮาวาย ฮ่องกง กระบี่ ภูเก็ต ฯลฯ ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกรู้จักกันดีแล้ว ยังมีสถานที่สวยงามหลายแห่งที่ถูกโลก (นักท่องเที่ยว) ลืม หรือแทบไม่เคยถูกกล่าวถึงตามสื่อต่างๆ เลยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

อาสค์เมน ดอทคอม เผย 10 อันดับ "สวรรค์บนดิน" ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสถานที่ห่างไกล เป็นเขตอนุรักษ์ หรือไม่ก็เป็นเขต (เคยถูก) หวงห้าม หลายแห่งความศิวิไลซ์ยังเข้าไปไม่ถึง ทั้งมีความเงียบสงบ สภาพแวดล้อมอุดมสมบูรณ์ และมักไม่ค่อยเป็นที่รู้จักแพร่หลาย ซึ่งผู้เขียนต้นฉบับแอบสารภาพว่า รู้สึกผิดเล็กน้อยที่นำสถานที่เหล่านี้มาเปิดเผยให้ทุกคนทราบ


10. เกาะ Vieques ประเทศเปอร์โตริโก



เกาะ Vieques หรือ "Isla Vieques" แห่งนี้ ถูกกองทัพเรือสหรัฐเข้ายึดครองนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1941-2003 (พ.ศ. 2484-2546) ตลอดระยะเวลาเกือบ 70 ปี เกาะแห่งนี้ถูกทหารเรืออเมริกันใช้เป็นสถานที่ฝึกปฏิบัติการณ์ด้านการทหาร และทดสอบอาวุธยุทโธปกรณ์ รวมทั้งการทดสอบกระสุนบรรจุอัลลอยด์ที่มี "depleted uranium" สามารถยิงทะลุทะลวง ทำลายจรวด รถถัง และยานเกราะได้




ด้วยเหตุนี้ ในระหว่างที่กองทัพเรือสหรัฐมาประจำการอยู่ที่นี่ เกาะที่เคยสงบ สวยงาม ทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ จึงกลายสภาพเป็นเกาะที่อุดมไปด้วยมลพิษ และมีอัตราการเกิดโรคมะเร็งสูง (กองทัพเรือสหรัฐครอบครองพื้นที่เกาะ 70% ส่วนอีก 30% เป็นที่อยู่อาศัยของคนพื้นเมือง)

หลังจากชาวบ้านที่ทำงานเป็นลูกจ้างให้กองทัพเรือเสียชีวิตอันเนื่องมาจากการ ยิงระเบิดพลาดเป้า บรรดาชาวเกาะและชาวเปอร์โตริโกบนผืนแผ่นดินใหญ่ ตลอดจนบรรดานักสิ่งแวดล้อม และนักรณรงค์ทั่วโลก (รวมทั้งชาวอเมริกัน) จึงออกมาเคลื่อนไหวกดดันให้กองทัพเรือสหรัฐหยุดทดสอบขีปนาวุธ ในที่สุดกองทัพเรือสหรัฐจึงประกาศยุติภารกิจต่างๆ บนเกาะแห่งนี้ และถอนกำลังออกจากพื้นที่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2003

แม้จะเคยถูกใช้เป็นสถานที่ทดสอบอาวุธร้ายแรงบริเวณปลายสุดทางด้านตะวันออก แต่พื้นที่ส่วนใหญ่บนเกาะ (เนื้อที่กว่า 8.3 หมื่นไร่) แห่งนี้ ยังคงเต็มไปด้วยผืนป่าและภูเขาเขียวชอุ่ม อุดมสมบูรณ์ มีหาดทรายสีขาวเป็นแนวยาวหลายแห่ง และไม่เคยถูกมนุษย์เข้าไปรบกวนนานเกือบ 70 ปี





ปัจจุบัน เกาะแห่งนี้เป็นของกรมประมงและสัตว์ป่าแห่งชาติสหรัฐ แต่บริหารจัดการโดยทางการเปอร์โตริโก หลังทหารเรืออเมริกันออกจากเกาะ พื้นที่ธรรมชาติที่เคยเป็นเขตหวงห้ามและไม่เคยมีใครแตะต้องมานานก็ถูกเปิด ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปสำรวจตรวจตราได้อย่างเต็มที่ ยกเว้นส่วนที่เคยใช้เป็นสถานที่ทดสอบอาวุธซึ่งถูกปิดตายไม่ให้ใครเข้า เนื่องจากเกรงว่าจะมีสารพิษปนเปื้อนตกค้างอยู่ในดินนั่นเอง

บนเกาะแห่งนี้มีโรงแรมสุดเก๋ชื่อ "Bravo Beach Hotel" แต่ที่นั่นไม่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีเด็กมาด้วย เพราะแขกที่มาเข้าพักจะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี ทั้งนี้เพื่อให้มีบรรยากาศที่สงบเงียบ เหมาะสำหรับใช้เป็นสถานที่ปลีกวิเวกอย่างแท้จริง



9. หมู่เกาะเฟอร์นันโด (Fernando de Noronha) ประเทศบราซิล



ดูเหมือนว่าอะไรก็ตามที่เข้าถึงยาก ย่อมเป็นที่สนใจและน่าค้นหาเสมอ หมู่เกาะเฟอร์นันโด ของประเทศบราซิลก็เช่นเดียวกัน

หมู่เกาะเฟอร์นันโด อยู่ห่างจากชายฝั่งทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศบราซิลราว 200 ไมล์ (322 ก.ม.) ประกอบด้วยเกาะใหญ่น้อยจำนวน 21 เกาะด้วยกัน และเพื่อป้องกันไม่ให้หมู่เกาะแห่งนี้บอบช้ำหรือถูกทำลายจากการมาเยือนของ นักท่องเที่ยว จึงอนุญาติให้เข้าไปเยือนได้คราวละไม่เกิน 240 คนเท่านั้น ที่สำคัญไปถึงแล้วนักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องจ่าย "ภาษีสิ่งแวดล้อม" ด้วย





ในแถบนี้มีเพียงเกาะหลักเท่านั้นที่มีประชาชนอาศัยอยู่ และเป็นเกาะที่นักท่องเที่ยวจะได้พักอาศัยในบูติกเกสต์เฮ้าส์สไตล์แปลก แต่สำหรับผู้ที่ชอบความหรูหรา สะดวกสบาย ต้องไปพักที่โรงแรม Pousada Maravilha เพราะที่นั่นจะมีบังกาโลที่หันหน้าออกสู่มหาสมุทรแอตแลนติกไว้คอยบริการ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

อย่างไรก็ตาม นอกจากการดำน้ำ ว่ายน้ำ เล่นเซิร์ฟ เดินชมธรรมชาติของป่าเขา และชมพระอาทิตย์ตกแล้ว บนเกาะแห่งนี้ก็แทบไม่มีอะไรอื่นๆ ให้ทำมากนัก จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมาพักผ่อนอย่างเงียบสงบท่ามกลางธรรมชาติอันอุดม สมบูรณ์





หมายเหตุ: ในอดีตที่นี่เคยถูกใช้เป็นสถานที่กักกันนักโทษ แต่ปัจจุบันได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก เนื่องจากมีสัตว์ทั้งในน้ำและบนบกชุกชุม อาทิ ปลาโลมา (เป็นจำนวนมาก) เต่าทะเล นกนานาชนิด ฯลฯ ในจำนวนนี้มีสัตว์บางชนิดที่กำลังเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์



8. Morzine ประเทศฝรั่งเศส



สวรรค์บนดินที่เป็นดินแดนแห่งป่าสนดังที่เห็นในภาพ คือ หมู่บ้านในประเทศฝรั่งเศสที่มีชื่อว่า "Morzine" ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใจกลาง "Portes du Soleil"* ระหว่างยอดเขามองต์บลังก์และทะเลสาปเจนีวาของประเทศสวิตเซอร์แลนด์

* Portes du Soleil คือ แหล่งสกีที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลบริเวณเทือกเขาแอลป์ อันเป็นที่ตั้งของสกีรีสอร์ททั้งที่อยู่ในประเทศฝรั่งเศสและสวิตเซอร์แลนด์

"Morzine" เป็นหมู่บ้านที่รายล้อมไปด้วยป่าสนบนความสูงระดับ 1,000 เมตร ซึ่งถือเป็นย่านสกีรีสอร์ทที่อยู่ในระดับต่ำ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นหัดเล่นสกี หรือเล่นสกีในช่วงที่สภาพอากาศไม่เป็นใจ ทำให้ผู้มาเยือนและแวะพักในหมู่บ้านแห่งนี้ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวที่มา พักผ่อนกันเป็นครอบครัว ส่วนผู้ที่มาเพื่อเล่นสกีโดยเฉพาะมักจะผ่านเลยไปยังสกีรีสอร์ทที่อยู่สูง ขึ้นไป





หมู่บ้านแห่งนี้มีโรงแรมเล็กๆ น่าพักหลายแห่ง ซึ่งผู้มาเยือนจะได้สัมผัสกับวิถีชีวิตในแบบดั้งเดิมของคนท้องถิ่น แต่ก็ได้รับความสะดวกสบายสไตล์โมเดิร์นในขณะเดียวกัน ทั้งยังมีอากาศที่บริสุทธิ์มากๆ ช่วงหน้าหนาวทั้งหมู่บ้านจะเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน แต่ในช่วงฤดูอื่นๆ หมู่บ้านแห่งนี้จะเขียวชอุ่มไปด้วยทุ่งหญ้าและป่าสน

นอกจากสกีแล้ว หมู่บ้านแห่งนี้ยังมีกิจกรรมกลางแจ้งอื่นๆ อีกมากมายให้เลือกทำ ไม่ว่าจะเป็นการปั่นจักรยาน เดินทางไกล เล่นไอซ์สเก็ต หรือแม้กระทั่งการตีกอล์ฟ เป็นต้น




แต่ถ้าใครไม่อยากเคลื่อนไหวหรือใช้พลังงานในช่วงกลางวันมากนัก ก็สามารถนอนพักผ่อน นั่งชมวิว หรืออ่านหนังสือหน้าเตาผิง เพื่อออมแรงไว้ตะลุยราตรีในยามค่ำคืนตามบาร์ต่างๆ ซึ่งจะมีวงดนตรีคอยขับกล่อม สลับกับดีเจรับเชิญในบางโอกาส ส่วนคอกีฬาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะพลาดการแข่งขันนัดสำคัญ เพราะตามบาร์จะมีจอขนาดใหญ่ให้นักท่องราตรีที่มีกีฬาในหัวใจได้ร่วมเชียร์ และชมไปพร้อมๆ กัน



7. เขตอนุรักษ์สัตว์ป่าทอร์นี่บุช สาธารณรัฐแอฟริกาใต้



เขตอนุรักษ์สัตว์ป่าทอร์นี่บุช ตั้งอยู่ใจกลางย่านโลว์เวลด์ ติดกับอุทยานแห่งชาติครูเกอร์ ถึงแม้ว่าจะตั้งอยู่กลางป่าเขาที่มีสัตว์ป่าชุกชุม แต่ที่นี่ก็เป็นสถานที่พักผ่อนและท่องซาฟารีสุดหรูระดับ 5 ดาว ที่มีบ้านพักให้เลือกหลากหลาย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

ถ้าใครชอบใช้ชีวิตแบบลุยๆ กลางป่าเขาแต่ไม่วายติดหรู ต้องเลือกที่พักแบบ "Chapungu Luxury Tented Camp" (ถึงจะเรียกเต็นท์แคมป์ แต่ความจริงแล้วเป็นบ้านไม้ลักษณะคล้ายกระท่อม ภายในหรูหรา และมีสิ่งอำนวยความสะดวกแบบเต็มพิกัด รวมทั้งอ่างจากุชชี่) ซึ่งผู้มาเยือนจะได้สัมผัสบรรยากาศการตกแต่งห้องพักสไตล์แอฟริกันขนานแท้ใน ยุคล่าอาณานิคม แต่จะเปิดให้เข้าพักได้ครั้งละไม่เกิน 16 คน (มีทั้งหมด 8 หลัง) และผู้เข้าพักต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 12 ปีเท่านั้น




หรือจะเลือกพักในบ้านสุดหรูหลากสไตล์ ที่ได้มาตรฐานระดับโรงแรม 5 ดาว แล้วรอดูพระอาทิตย์ตกขณะแช่น้ำร้อนบนระเบียงส่วนตัว ซึ่งถ้าโชคดีก็อาจได้เห็นสัตว์ป่าออกมาเดินเพ่นพ่านให้ชมถึงที่ แต่ถ้ารู้สึกเหนื่อยล้าหลังนั่งรถจิ๊ปท่องซาฟารีไล่ล่า (ถ่ายรูป) บิ๊กไฟว์* กันมาทั้งวัน ที่นี่ก็มีสปาหรูระดับเวิลด์คลาส (อามานี่ สปา) ไว้คอยบริการเช่นกัน

* บิ๊กไฟว์ ได้แก่ สัตว์ป่าที่นักท่องซาฟารีมักพบเจอตัวได้ยาก ประกอบด้วย ช้างป่า สิงโต ควายป่า เสือดาว แรดขาว และแรดดำ






6. Algonquin Park ประเทศแคนาดา




อุทยาน Algonquin ตั้งอยู่ในรัฐออนตาริโอ ห่างจากเมืองโตรอนโตเพียง 3 ช.ม. (ทางรถยนต์) อุทยานแห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ มีพืชพรรณและสัตว์ป่าหลากหลาย อาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลบนเนื้อที่ 7,630 ตารางกิโลเมตร

ภายในอุทยานประกอบด้วยป่าสน แม่น้ำลำธารหลายสาย และอีกกว่า 2,400 ทะเลสาป ทั้งยังมีจุดตั้งแคมป์ ที่พัก สำนักอุทยาน พร้อมด้วยสัตว์ป่านานาพันธุ์





นอกจากการตั้งแคมป์แล้ว การเข้าพักในบ้านพักที่พรั่งพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก บนทำเลที่สวยงามก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ โดยเฉพาะล็อกเคบิน "Killarney Lodge" ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหมู่ไม้ ริมทะเลสาปซึ่งเต็มไปด้วยปลาเทราท์ ส่วนกิจกรรมที่น่าสนใจก็คือ การว่ายน้ำ ตกปลา เดินป่า พายเรือแคนู และถ้าโชคดีก็อาจได้เจอกวางมูสและตัวบีเวอร์ แต่ถ้าโชคไม่ดีนักก็อาจได้เจอหมีดำที่อาศัยอยู่ในอุทยานราว 2 พันตัว




- โปรดติดตามตอนต่อไป - 

ขอบคุณข้อมูลจาก

วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

10 อาหารพื้นเมืองสุดพิสดาร 

           ในการเดินทางไปเยือนต่างบ้านต่างเมือง นอกจากการโพสต์ท่าถ่ายรูปตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แล้ว การศึกษาประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของแต่ละชนชาติก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาดเช่นกัน

            แต่ถ้าใครไม่ค่อยมีเวลา และไม่ชอบอะไรที่ออกแนววิชาการมากเกินไป อีกหนึ่งวิธีที่ดีที่สุดในการศึกษาวัฒนธรรมที่หลากหลาย ก็คือการลองรับประทานอาหารพื้นเมืองแท้ๆ ของแต่ละท้องถิ่นนั่นเอง
ต้องบอกก่อนว่า อาหารเหล่านี้อาจแลดูแปลกประหลาด และเป็นเมนูเปิบพิสดารในสายตาคนต่างถิ่น แต่คนในพื้นที่เขาเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา และสามารถหารับประทานได้ทั่วไป

            มาดูกันว่า...อาหารพื้นเมืองที่นักท่องเที่ยวเห็นแล้วเป็นต้องสะดุ้ง ขนลุก หรือลงความเห็นว่าแปลกประหลาดสุดๆ นั้น มีอะไรบ้าง (คำเตือน: อาจมีภาพและข้อความชวนยี้)

1. ซุปรังนก - ประเทศจีน



     สำหรับคนเอเชียอย่างเรา การรับประทานรังนกถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา (ถ้ามีตังค์) ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า "รังนกแท้" ถือเป็นอาหารที่หายากและมีราคาแพง ถึงขนาดได้รับฉายาว่าเป็น "คาเวียร์" ของโลกตะวันออกเลยทีเดียว

     สาเหตุที่ฝรั่งหรือคนต่างชาติรู้สึกว่ารังนกเป็นอาหารที่แปลกประหลาดสุดๆ เพราะรังนกแท้ได้มาจากน้ำลายของนกนางแอ่นที่สำรอกออกมาแล้วจับตัวแข็งเป็น รูปร่างคล้ายรังนกนั่นเอง ดังนั้น เมื่อเห็นว่ารังนกเป็นอาหารอันโอชะของหลายประเทศในแถบเอเชีย และมีราคาแพงมากๆ เขาจึงอดแปลกใจไม่ได้ว่าพวกเรากินน้ำลายนกเข้าไปได้ยังไงกัน



2. ตัวบึ้งทอด - ประเทศกัมพูชา



อย่าว่าแต่ฝรั่งเลย แม้แต่คนไทยอย่างเราๆ ถ้าได้เห็นตัวประหลาด 8 ขา สีดำ ขนปุย ถูกทอดขายแบบมาทั้งตัว อวัยวะทุกส่วน (แม้แต่เขี้ยว ขา และขน) อยู่ครบ ก็คงรู้สึกแปลกๆ และอดขนลุกไม่ได้เหมือนกัน

"ตัวบึ้งหรือแมงมุมยักษ์" ที่มีทั้งแบบอบ ย่าง และทอดกระเทียมนี้ ถือเป็นอาหารยอดนิยมของคนกัมพูชา เขาขายกันเป็นล่ำเป็นสันที่ข้างถนนในเมืองสะกุน จ.จำปงจาม จนกลายเป็นอีกหนึ่งจุดที่นักท่องเที่ยวจะต้องแวะชมให้เห็นกับตา และถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ส่วนจะซื้อหาและทดลองชิมหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง



3. ปลาปักเป้า - ประเทศญี่ปุ่น

"ปลาปักเป้า" หรือ "ฟุกุ" เป็นได้ทั้งอาหารอันโอชะและยาพิษร้ายในขณะเดียวกัน...

เป็นที่รู้กันว่า "ปลาปักเป้า" ทุกชนิดเป็นปลาที่มีสารพิษ เตโตรโดท็อกซิน (Tetrodotoxin) ซึ่งมีอันตรายร้ายแรงกว่าไซยาไนด์ถึง 1,250 เท่าอยู่ในตัว โดยเฉพาะบริเวณหนัง ไข่ เนื้อ ตับ และลำไส้ ดังนั้น การรับประทานพิษปลาปักเป้าเข้าไปแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจถึงแก่ความตายได้

ด้วยเหตุนี้ ประเทศญี่ปุ่นจึงออกกฏหมายให้เฉพาะพ่อครัวที่มีใบอนุญาตเท่านั้น ที่สามารถชำแหละเนื้อปลาปักเป้าเพื่อนำมาทำเป็นอาหารได้





4. ไข่บาลุต - ประเทศฟิลิปปินส์


เมนูเด็ดของแดนตากาล็อกประจำวันนี้ คือ ไข่บาลุต ซึ่งก็คือไข่ต้มที่มีตัวอ่อนของเป็ด (หรือไก่) อยู่ภายใน สามารถหาทานได้ทั่วไปตามท้องถนน

ส่วนวิธีรับประทานนั้นก็ไม่ยาก แค่ปอกเปลือกด้านบนออก เหยาะเกลือ น้ำมะนาว พริกไทย และผักชีลงไป (บางคนอาจจะใส่พริกและน้ำส้มสายชู) จากนั้นก็ซดน้ำ (ในไข่) แล้วแกะเปลือกไข่ส่วนที่เหลือออกเพื่อทานไข่แดงและเคี้ยวตัวอ่อนที่กำลัง กรุ๊บๆ




5. คาสุ มาร์ซู - เกาะซาร์ดิเนีย ประเทศอิตาลี


คาสุ มาร์ซู (Casu Marzu) คือ ชีสนมแกะที่ภายในมีรูพรุน อันอุดมไปด้วย "หนอนแมลงวัน" แม้ปัจจุบัน ทางอียูจะกำหนดให้ชีส "คาสุ มาร์ซู" เป็นอาหารที่ผิดกฏหมายและผิดหลักโภชนาการอย่างแรง แต่แฟนพันธุ์แท้ของชีสชนิดนี้ ก็ยังคงซื้อหามารับประทานได้จากตลาดมืดซึ่งเป็นที่รู้กัน

หากแปลตรงตัว "คาสุ มาร์ซู" จะหมายถึง "ชีสเน่า" หรือที่ชาวซาร์ดิเนียนเรียกว่า "ชีสหนอน" นั่นเอง เนื่องจากภายในชีสจะมีหนอนตัวขาวใส ความยาวประมาณ 8 ม.ม. ดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่ภายในเป็นจำนวนมาก หนอนเหล่านี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเร่งกระบวนการหมักให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และทำให้ไขมันแตกตัว

กล่าวกันว่าชีสชนิดนี้มีความอ่อนนุ่มมาก เนื่องจากมีของเหลวแทรกซึมอยู่ในเนื้อชีส แต่จะต้องรีบทานในขณะที่หนอนยังมีชีวิตอยู่ เพราะถ้ารอให้หนอนตายก่อน ชีสก้อนนั้นจะถือว่าเป็นอาหารมีพิษทันที

และถ้ายังยี้ไม่พอ ขอบอกว่า...ถ้าใครเอามือไปโดนหรือเอาอะไรเขี่ยหนอนที่อยู่ในชีส พวกมันจะกระโดดใส่ทันที (หนอนพวกนี้สามารถดีดตัวได้สูงถึง 15 ซ.ม.) ซึ่งถ้าหากไม่ระวังล่ะก็อาจกระเด็นเข้าตาได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีบางคนนำชีสไปล้างก่อนรับประทาน ขณะที่บางคนใช้ถุงพลาสติกปิดคลุมไว้ก่อนเพื่อให้หนอนขาดออกซิเจนและอ่อนแรง ก่อนที่จะตายในที่สุด แต่วิธีหลังถือว่าอันตรายเพราะอาจทำให้เกิดอาหารเป็นพิษจนต้องหามส่งโรง พยาบาลได้


6. เซอร์สตอร์มมิง - สวีเดน


หนึ่งในอาหารแปลกที่สุดในโลกจานนี้ สามารถซื้อหามารับประทานได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปในสวีเดน และเจ้าอาหารแปลกที่ว่านี้ก็คือ “เซอร์สตอร์มมิง” หรือ “ปลาเฮอร์ริงเน่า” นั่นเอง

สำหรับท่านที่ไม่ชอบปลาร้า เวลาได้กลิ่นอาจทำหน้าเหยเกแล้วบ่นว่า "เหม็น" แต่เชื่อหรือไม่ว่าปลาร้า 10 ไหก็ยังชิดซ้ายปลาเน่า “เซอร์สตอร์มมิง” จากสวีเดน เพราะแค่เพียงกระป๋องเดียว ก็อาจทำให้คลื่นเหียนอาเจียนไปทั้งหมู่บ้าน

ส่วนจะเหม็นแค่ไหนนั้น...ลองนึกภาพดูแล้วกันว่าเวลาจะรับประทาน ต้องนั่งทาน "กลางแจ้ง" ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกเท่านั้น

“เซอร์สตอร์มมิง” ผลิตจากปลาเฮอร์ริงในทะเลบอลติกที่ถูกจับขึ้นมาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ปลาเหล่านี้จะถูกหมักอยู่ในถังราว 1-2 เดือน จากนั้นจึงนำมาบรรจุลงกระป๋องเพื่อหมักต่อ และรอให้ปลาเน่าสนิทอีกราว 6 เดือน จนกระป๋องเริ่มบวมเป่ง (เพราะภายในมีแก๊สที่เกิดจากปลาเน่า) เป็นอันใช้ได้ จากนั้นจึงเริ่มนำออกขายตามท้องตลาด

และเนื่องจากภายในกระป๋องมีแรงดันของแก๊ส จึงมักเกิดเหตุการณ์ “เซอร์สตอร์มมิง” ระเบิด ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งไปทั่วบริเวณขณะขนส่ง หรือระหว่างที่เก็บเอาไว้ในโกดังบ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้บรรดาสายการบินจึงระบุว่า “เซอร์สตอร์มมิง” เป็นวัตถุอันตราย และห้ามไม่ให้นำขึ้นเครื่องโดยเด็ดขาด

คนสวีเดนมักรับประทานปลาเน่าชนิดนี้กับขนมปังแผ่นใหญ่ (บางๆ) และมันฝรั่งต้ม ขณะที่บางคนนิยมทานร่วมกับนม เบียร์ หรือน้ำเปล่า เพื่อให้ทานง่ายขึ้น


7. ปลาหมึกเป็นๆ - เกาหลีใต้



สำหรับท่านที่เป็นแฟนซีรีย์เกาหลี คงเคยเห็นอาหารจานนี้ผ่านหูผ่านตากันมาบ้างแล้ว...

เมนูนี้มีชื่อว่า "Sannakji" (แถวบ้านเราเรียกว่า "ปลาหมึกสด") วิธีทำก็ง่ายๆ แค่นำปลาหมึกเป็นๆ มาหั่น ราดด้วยน้ำมันงาแล้วเสิร์ฟทันที

ขณะอยู่ในจานหนวดปลาหมึกจะยังคงดิ้นดุ๊กดิ๊ก และดูดติดกับจานหรืออะไรก็ตามที่เข้าไปสัมผัส ดังนั้น เวลารับประทานจึงต้องใช้ความพยายามในการคีบมากเป็นพิเศษ และต้องต่อสู้กับหนวดปลาหมึกเล็กน้อย

แต่ใช่ว่าคีบได้แล้วเรื่องจะจบ เพราะเวลาที่อยู่ในปากปลาหมึกอาจยังคงดูดติดฟัน เพดานปาก และลิ้นของเรา แถมยังดิ้นดุ๊กดิ๊กไปมาเวลาเวลาเคี้ยว จึงต้องเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืนลงคอ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายและเสียฟอร์มเพราะสำลัก หรือ (หนวด) ปลาหมึกติดคอ



8. กาแฟ Kopi Luwak - อินโดนีเซีย





เมื่อไม่นานมานี้ "บีเอสเอ็นนิวส์" เคยนำเสนอเรื่องราวของกาแฟ "Kopi Luwak" ที่ได้ชื่อว่าหายากและมีราคา "แพงที่สุดในโลก" มาแล้วครั้งหนึ่ง

เมล็ดกาแฟชนิดนี้ ได้มาจากระบบขับถ่าย (อึ) ของตัวชะมดชนิดหนึ่งซึ่งชาวอินโดฯ เรียกว่า Luwak สัตว์ชนิดนี้จะกินผลกาแฟสดเข้าไป แล้วขับถ่ายเมล็ดกาแฟออกมา กล่าวกันว่าเมล็ดกาแฟที่ผ่านกระบวนการนี้จะมีกลิ่นหอมและรสชาติดีเป็นพิเศษ




กาแฟ "Kopi Luwak" พบได้บนเกาะสุมาตรา ชวา และสุลาเวสี ปัจจุบันเริ่มได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา แต่ด้วยความที่หายากเมล็ดกาแฟชนิดนี้จึงมีราคาขายสูงถึง 100-600 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3,400 - 20,400 บาท) ต่อ 1 ปอนด์ (0.45 กก.) เลยทีเดียว



9. หัวใจ (สดๆ) นกพัฟฟิน - ไอซ์แลนด์



ต้องบอกว่า...เมนูนี้ค่อนข้างโหดร้ายและเป็นอะไรที่คาดไม่ถึงเลยจริงๆ ก็ใครจะไปนึกว่าคนไอซ์แลนด์เขาจะใช้ตาข่ายขนาดใหญ่ดักจับนกพัฟฟินมาหักคอ ถลกหนัง แล้วควักหัวใจออกมาทานกันสดๆ ขณะที่เนื้อมักถูกนำไปรมควัน ย่าง ทอด หรือกลายเป็นเมนูอันโอชะตามภัตตาคารหรูต่างๆ

แม้ว่าไอซ์แลนด์ จะเป็นหนึ่งในถิ่นอาศัยของฝูงนกพัฟฟินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่ผลจากการที่ถูกมนุษย์บุกรุกถิ่นฐาน และไล่ล่าเอาทั้งไข่และเนื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจับนกพัฟฟิน ด้วยวิธี "สกาย ฟิชชิ่ง" หรือใช้ตาข่ายขนาดใหญ่ดักจับนกโชคร้าย ก็ยิ่งทำให้นกดังกล่าวมีปริมาณลดลงอย่างฮวบฮาบ



เชฟดัง "กอร์ดอน แลมเซ่ย์" โดนวิจารณ์อย่างหนัก หลังสาธิตการกินหัวใจนกพัฟฟินออกรายการทีวี


10. เหล้าดองงู - เวียดนาม



เหล้าดองงู มีต้นกำเนิดที่ประเทศเวียดนาม ต่อมาได้แพร่ขยายไปตามภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทางตอนใต้ของจีน

ถึงแม้ว่างูที่เห็นบรรจุอยู่ในขวดเหล้าจะเป็นงูพิษ แต่การที่งูถูกแช่เหล้าเป็นเวลานานๆ จะทำให้พิษค่อยๆ เจือจางและถูกทำลายไปในที่สุด จึงสามารถดื่มได้โดยไม่เป็นอันตราย

กล่าวกันว่า เหล้าดองงูมีสรรพคุณทางยา แต่นักท่องเที่ยวหลายรายต่างเลือกที่จะซื้อไปตั้งโชว์ที่บ้าน มากกว่าซื้อไปโด้ป!




ขอบคุณข้อมูลจาก

วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ตามรอยมังกรที่เยาวราช  
          หากเปรียบประเทศจีนเป็น ดั่งมังกร เยาวราช ก็คงจะไม่ต่างอะไร จากมังกรตัวใหญ่ที่ยังคงผงาดอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง ของยุคสมัยได้อย่างสง่างาม เพราะเยาวราชไม่ได้เป็นเพียง ย่านการค้าและที่อยู่อาศัยของชาวจีนเพียงเท่านั้น แต่ยังเปรียบ เสมือนสายใยที่เชื่อมโยงลูกหลานชาวจีนในเมืองไทยให้คงไว้ซึ่ง รากเหง้าแห่งวัฒนธรรมดั้งเดิมได้อย่างเหนียวแน่น

     สถานที่แรกคือ ข้าวแกง เจ๊กปุ้ยปากซอยมังกร มีเอกลักษณ์คือ ต้องนั่งกินบน เก้าอี้กลม ไม่มีโต๊ะ มือหนึ่ง ถือจาน อีกมือตักข้าวใส่ปาก ได้บรรยากาศยองยองเหลาสุดๆ




     นมัสการ หลวงพ่อทองคำ วัดไตรมิตรวิทยาราม สักการะพระพุทธรูปทองคำ องค์แรกของไทย ที่หนังสือ กินเนสส์บุ๊ค ปี 1991 บันทึก เอาไว้ว่าเป็นพระพุทธรูปทองคำ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

     วัดมังกรกมลาวาส หรือ วัดเล่งเน่ยยี่ มีเทพเจ้าที่คน นับถือกราบไหว้ อาทิ ไท้ส่วย เอี๊ยะ เทพเจ้าคุ้มครองดวงชะตา ไฉ่ซิ้งเอี๊ยะ เทพเจ้าแห่งโชค ลาภ ไต่เสี่ยหุกโจ้ว เทพเจ้า เฮ่งเจีย ในวันพระจีน จะมีคนแวะ มาไหว้จนควันธูปตลบไปทั่ว

      China Gate ซุ้มประตู เฉลิมพระเกียรติ 6 รอบ พระชนมพรรษา สร้างขึ้นบริเวณวงเวียนโอเดียนเก่า ตกแต่งด้วยแผ่นทองคำเป็นรูป มังกรสองตัว เชิดชูตราสัญลักษณ์ พระปรมาภิไธยย่อ ภปร. ตามความเชื่อว่าจักรพรรดิ์ กำเนิดมาจากมังกร

     อร่อยลิ้นกับ ลอดช่องสิงค์โปร์ ขายอยู่ใกล้กับโรงหนังสิงค์โปร์ คนสมัยก่อนนิยมกินหลังดูหนังเสร็จ

     เอี๊ยะแซ สภากาแฟจีน ที่เก่าแก่ที่สุด ของย่านนี้ ที่เด็ดทั้งรสชาติและ บรรยากาศ

     พิพิธภัณฑ์ทองคำ ห้างทองตั้งโต๊ะกัง เกิดจากความคิดของเจ้าของ กิจการ ที่ต้องการอนุรักษ์เครื่องมือ ทำทองสมัยโบราณมาจัดแสดง ภายในตึกโบราณของห้างทอง ที่สร้างมาตั้งแต่สมัย ร. 6 ถือเป็น ตึกสูงที่สุดของเยาวราชในสมัยนั้น


     และแล้วสถานที่สุดท้ายของวันก็คือ สำเพ็ง ถนนเศรษฐกิจของชาวจีน ในย่านนี้มาตั้งแต่สมัย ร. 1 ถึง ร. 5 ปัจจุบัน เป็นตลาดขายส่งที่ใหญ่ที่สุด ในกรุงเทพฯ

     เสน่ห์อย่างหนึ่งของเยาวราชก็คือสีสันที่หลากหลายต่าง กันไปตามช่วงเวลา ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน ภาพชีวิต ณ ย่านเก่าแห่งนี้ แต่ละโมงยามก็ไม่เคยซ้ำฉากกันเลย...

วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

10 อันดับประเทศ "ปลอดภัยที่สุดในโลก"



เผยรายชื่อ 10 ประเทศที่นักท่องเที่ยวสามารถไปเที่ยวได้อย่างสบายใจ ไร้กังวล เพราะมีความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินมากที่สุดในโลก

ในการเดินทางท่องเที่ยวไปยังต่างบ้านต่างเมือง ไม่ว่าประเทศนั้นๆ จะมีความสวยงาม หรือมีอารยธรรมอันเก่าแก่สักแค่ไหน แต่ถ้าหากไม่มีความมั่นคงทางการเมือง มักเกิดเหตุรุนแรง นองเลือด หรือเกิดสงครามกลางเมืองบ่อยครั้ง ก็คงไม่มีใครกล้าเสี่ยงเดินทางเข้าไปเที่ยว

หรือถ้าประเทศนั้นๆ มีความมั่นคงทางการเมือง แต่มีสถิติการเกิดคดีอาชญากรรม ทำร้ายร่างกาย ข่มขู่ หลอกลวง ปล้นจี้ ชิงทรัพย์ นักท่องเที่ยวบ่อยครั้ง ก็คงไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนอยากเดินทางไปเยือนเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ จึงมีเว็บไซต์ด้านการท่องเที่ยว นำดัชนีความสงบสุขโลก หรือ "Global Peace Index" มาศึกษาและวิเคราะห์ ก่อนที่จะสรุปออกมาเป็น 10 อันดับประเทศที่มีความ "ปลอดภัยมากที่สุดในโลก" ซึ่งผลที่ได้มีดังนี้


อันดับที่ 10 สาธารณรัฐสโลวีเนีย



หลายคนคงเซอร์ไพรส์ที่สโลวีเนีย ติดอันดับท็อป 10 เป็นหนึ่งในประเทศที่ "ปลอดภัยมากที่สุดในโลก"

สโลวีเนีย ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเทือกเขาแอลป์ มีอาณาเขตติดกับประเทศ อิตาลี โครเอเชีย ฮังการี และออสเตรีย ในอดีตสโลวีเนียเคยเป็น 1 ใน 6 รัฐของยูโกสลาเวีย แต่หลังจากลัทธิคอมมิวนิสต์และยูโกสลาเวียล่มสลาย สโลวีเนียก็ประกาศตัวเป็นประเทศเอกราช เมื่อปี พ.ศ. 2534 และได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกสหภาพยุโรป เมื่อปี พ.ศ. 2547 ที่ผ่านมา



สโลวีเนีย เป็นประเทศเล็กๆ ที่มีพื้นที่น้อยกว่าประเทศไทย 25 เท่า ด้วยความที่มีทัศนียภาพอันงดงาม และมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการเล่นสกี จึงทำให้ประเทศนี้เริ่มกลายเป็นอีกหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่น่าจับตามองของ ฟากฝั่งยุโรป

ที่สำคัญ สโลวีเนีย เป็นประเทศที่เงียบสงบ มีสถิติการเกิดอาชญากรรมรุนแรงในระดับต่ำ ทั้งยังมีความเสี่ยงต่อการถูกโจมตีของผู้ก่อการร้ายน้อยมาก


อันดับที่ 9 สาธารณรัฐฟินแลนด์



ฟินแลนด์ เป็นประเทศในกลุ่มนอร์ดิก ในอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของสวีเดน ต่อมาได้อยู่ภายใต้จักรวรรดิรัสเซียจนถึงปี พ.ศ. 2460 ปัจจุบันถือเป็นประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตย

ฟินแลนด์ ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศมีความมั่นคงมากที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และทางด้านการทหาร นอกจากนี้ เมืองต่างๆ ของประเทศฟินแลนด์ ยังมีความทันสมัยและเจริญก้าวหน้ามาก

ด้านสภาพภูมิประเทศ ฟินแลนด์มีทะเลสาบและเกาะใหญ่น้อยเป็นจำนวนมาก ทั้งยังเต็มไปด้วยป่าสน และเนื่องจากพื้นที่ราวหนึ่งในสี่ตั้งอยู่บนอาร์กติกเซอร์เคิล ทำให้ตอนบนสุดของประเทศฟินแลนด์เกิดปรากฏการณ์พระอาทิตย์เที่ยงคืน โดยในช่วงฤดูร้อนพระอาทิตย์จะไม่ตกดินเป็นเวลา 73 วัน ส่วนในช่วงฤดูหนาวพระอาทิตย์จะไม่ขึ้นเลยเป็นเวลา 51 วัน



แม้ว่าที่ผ่านมา สถิติการเกิดคดีอาชญากรรมในประเทศฟินแลนด์จะสูงกว่าประเทศอื่นๆ ที่อยู่ในอันดับท็อปเท็นเป็นประเทศที่ "ปลอดภัยที่สุดในโลก" เล็กน้อย... แต่เนื่องจากฟินแลนด์เป็นประเทศที่เคารพในเสรีภาพของพลเรือน สิทธิมนุษยชน และกระบวนการทางด้านประชาธิปไตยสูงมาก จึงทำให้ได้ชื่อว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีความปลอดภัยมากที่สุดสำหรับนัก เดินทาง



อันดับที่ 8 ประเทศแคนาดา



แคนาดา เป็นประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ มีอาณาเขตติดกับสหรัฐอเมริกา ที่ตั้งของประเทศแคนาดาอยู่ทางตอนบนสุดของแผนที่โลก และยังมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลกอีกด้วย

ค่านิยมหลักของสังคมแคนาดาที่ฝังลึกในทุกคนคือ การส่งเสริมและเคารพในสิทธิและเสรีภาพของมนุษย์ ซึ่งเป็นหลักพื้นฐานสำคัญที่สุดของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

เห็นได้จากการที่รัฐบาลแคนาดา เปิดรับคนต่างชาติอย่างเป็นทางการให้สามารถเข้าไปตั้งถิ่นฐานในบ้านเมืองตน ได้ โดยที่ยังคงสามารถดำเนินวิถีชีวิตตามขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรมตามแบบฉบับดั้งเดิมของตน ด้วยเหตุนี้ ประชากรของแคนาดาจึงประกอบด้วยผู้คนจากเชื้อชาติต่าง ๆ มากมาย และชนชาติที่อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานในแคนาดามากที่สุด ก็คือคนเอเชียนั่นเอง




แม้ว่าแคนาดาจะมีสถิติการเกิดคดีอาชญากรรมรุนแรงในระดับต่ำมาก แต่ที่ไม่ติดอันดับท็อปไฟว์ประเทศที่ปลอดภัยมากที่สุด เนื่องจากเสียแต้มให้กับการที่ประชาชนสามารถเข้าถึงอาวุธได้ง่าย ที่สำคัญ การที่แคนาดาส่งทหารไปร่วมรบในสงครามอัฟกานิสถาน ทั้งยังมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา จึงทำให้ถูกประเมินว่ามีความเป็นไปได้ที่แคนาดาอาจตกเป็นเป้าโจมตีของผู้ก่อ การร้าย



อันดับที่ 7 ประเทศญี่ปุ่น




ญี่ปุ่น เป็นประเทศหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ประกอบด้วยเกาะใหญ่น้อยกว่า 3,000 เกาะ บนมหาสมุทรแปซิฟิก ทิศตะวันตกติดคาบสมุทรเกาหลีและสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยมีทะเลญี่ปุ่นกั้น ส่วนทางด้านทิศเหนือติดกับประเทศรัสเซีย โดยมีทะเลโอค็อตสก์เป็นเส้นแบ่งเขตแดน

แม้ว่าที่ผ่านมา ญี่ปุ่นจะบอบช้ำจากสงครามเป็นอย่างมาก แต่ก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก และเป็นหนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยีในปัจจุบัน

และเนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีวัฒนธรรมอันโดดเด่น ทั้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวัดโบราณ ศาลเจ้า หรือสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ในขณะเดียวกันก็มีวัฒนธรรมร่วมสมัย เทคโนโลยีที่ล้ำหน้า อาหารเลื่องชื่อ และแสงสีในยามค่ำคืน จึงดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ไปเยือนเป็นจำนวนมากในแต่ละปี



หากพิจารณาตามดัชนีความสงบสุขโลก หรือ จีพีไอ ญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่มีสถิติการเกิดอาชญากรรมรุนแรงต่ำมาก และมีกฏระเบียบเรื่องการครอบครองอาวุธที่เข้มงวด ส่วนสถิติทางด้านการลักขโมยก็ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอุตสาหกรรม อื่นๆ ทางฝั่งตะวันตก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศเดียวในแถบเอเชียที่ติด 1 ใน 10 ประเทศที่ "ปลอดภัยที่สุดในโลก"



อันดับที่ 6 ประเทศสวีเดน



เช่นเดียวกับสโลแกนของ "วอลโว่" รถยนต์หรูชื่อดังสายเลือดสวีดิช... ทุกชีวิตก็ปลอดภัยในสวีเดนเช่นกัน

สวีเดน เป็นประเทศกลุ่มนอร์ดิกที่ตั้งอยู่บนคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศนอร์เวย์ ฟินแลนด์ ช่องแคบสแกเกอร์แรก และช่องแคบแคทีแกต พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าไม้ ภูเขาสูง และมีทะเลสาปที่สวยงามเป็นจำนวนมาก

ถึงแม้ว่าสวีเดนจะตั้งอยู่ทางตอนเหนือมาก แต่กลับมีภูมิอากาศแบบอบอุ่น เนื่องจากได้รับอิทธิพลของกระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม และเนื่องจากตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอาร์กติกเซอร์เคิล สวีเดนจึงเป็นอีกประเทศหนึ่งที่เกิดปรากฏการณ์พระอาทิตย์เที่ยงคืน



สวีเดน เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้คะแนนสูงมาก ทั้งทางด้านการเคารพในสิทธิมนุษยชน ความมีส่วนร่วมทางการเมือง เสรีภาพของพลเรือน และมีสถิติการเกิดอาชญากรรมรุนแรงในระดับต่ำมาก แต่เนื่องจากสวีเดนเป็นผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่ จึงทำให้ถูกตัดคะแนนในส่วนนี้ไปค่อนข้างมาก ตำแหน่งเลยร่วงลงมาอยู่ที่อันดับ 6 ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว สวีเดนถือเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก


อันดับที่ 5 - สาธารณรัฐออสเตรีย



ออสเตรีย เป็นประเทศในยุโรปกลางที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ทิศเหนือจรดเยอรมนีและเช็ก ทิศตะวันออกจรดสโลวาเกียและฮังการี ทิศใต้จรดสโลวีเนียและอิตาลี ส่วนทิศตะวันตกจรดสวิตเซอร์แลนด์และลิกเตนสไตน์

ประเทศออสเตรียเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางสุดฮอตของนักท่องเที่ยว เพราะนอกจากจะมีทัศนียภาพที่งดงามแล้ว ยังเป็นดินแดนแห่งเสียงดนตรี เนื่องจากเป็นบ้านเกิดของ "วอล์ฟกัง อมาเดอุส โมซาร์ท" นักประพันธ์ดนตรีคลาสสิกชาวออสเตรียที่มีชื่อเสียงก้องโลก



ออสเตรีย เป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีความปลอดภัยสูงมากสำหรับนักท่องเที่ยว เนื่องจากมีสถิติการเกิดอาชญากรรมรุนแรงในระดับต่ำ และมีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่สิ่งที่ทำให้ออสเตรียเสียแต้มใน "ดัชนีความสงบสุขโลก" ไปบ้างก็คือ การที่มีคะแนนในส่วนของการเคารพสิทธิมนุษย์ชน และการยอมรับนับถือผู้อื่นต่ำกว่าชาติยุโรปที่ติดอันดับต้นๆ ในโผนี้



อันดับที่ 4 - ประเทศไอซ์แลนด์



ไอซ์แลนด์ เป็นประเทศที่อยู่ในยุโรปเหนือ ตั้งอยู่บนเกาะในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ระหว่างกรีนแลนด์ นอร์เวย์ และสหราชอาณาจักร

นอกจาก ไอซ์แลนด์ จะเป็นบ้านเกิดของ "บียอร์ค" นักร้องนักแสดงชื่อดังระดับโลกแล้ว ยังเป็นดินแดนแห่งธารน้ำแข็ง ภูเขาไฟ น้ำพุร้อน และยังเป็นแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพจำนวนมหาศาลอีกด้วย

ครั้งหนึ่งยูเอ็นเคยระบุว่า ไอซ์แลนด์ เป็นประเทศที่มีการพัฒนามากที่สุดในโลก และเคยได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความมั่งคั่งต่อประชากรมากที่สุดใน โลกอีกต่างหาก ที่สำคัญ ไอซ์แลนด์ ยังถือเป็นประเทศที่มีระบบสวัสดิการสังคมดีเยี่ยมอีกด้วย



ไอซ์แลนด์ เป็นอีกหนึ่งประเทศในกลุ่มนอร์ดิกที่มีความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวสูง มาก เนื่องจากมีสถิติการเกิดอาชญากรรมรุนแรงในระดับต่ำ มีระดับการเคารพสิทธิมนุษยชนสูง น่าเสียดายที่ไอซ์แลนด์ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกในปี นี้ ส่งผลให้เกิดความไม่มั่นคงทางการเมือง จึงทำให้คะแนนโดยรวมของ "ดัชนีความสงบสุขโลก" ร่วงลงมา


อันดับที่ 3 - ประเทศนอร์เวย์



นอร์เวย์ เป็นประเทศในกลุ่มนอร์ดิก ตั้งอยู่ในยุโรปเหนือ ทางด้านตะวันตกของคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย มีอาณาเขตจรดประเทศสวีเดน ฟินแลนด์ และรัสเซีย ส่วนอาณาเขตทางทะเลจรดมหาสมุทรแอตแลนติก ใกล้กับประเทศเดนมาร์กและสหราชอาณาจักร

นอร์เวย์เป็นที่ตั้งของ ฟยอร์ด* ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและสวยที่สุดในโลก และยังเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวประมงที่มีสีสันสดใสสะดุดตา รายล้อมด้วยธรรมชาติที่สวยงามดุจภาพเขียน จึงดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้เดินทางไปเยี่ยมเยียนเป็นจำนวนมากในแต่ ละปี

* ฟยอร์ด (Fjord) คือ อ่าวลักษณะแคบและยาวที่อยู่ระหว่างหุบเขาสูงชัน ซึ่งหุบเขาที่ว่านั้นเคยมีธารน้ำแข็งปกคลุมเป็นเวลายาวนาน เมื่อภูเขาดังกล่าวถูกน้ำแข็งกัดเซาะนานเข้าจึงเกิดการสึกกร่อน ทำให้บางส่วนร่วงหล่นจมหายไปใต้น้ำ ส่วนที่เหลืออยู่ (ภูเขา) จึงมีลักษณะแหลมๆ หรือเป็นหน้าผาสูงชัน



นอร์เวย์ เป็นประเทศที่มีคะแนนในเรื่องของการเคารพสิทธิมนุษยชน และเสรีภาพส่วนบุคลสูงมาก ทั้งยังยอมรับในศาสนาและวัฒนธรรมที่แตกต่าง มีอัตราการเกิดอาชญากรรมรุนแรงในระดับต่ำเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ในกลุ่มสแกนดิเนเวียที่อยู่ใน 10 อันดับนี้

แม้ว่าที่ผ่านมานอร์เวย์จะมีส่วนร่วมในการทำสงครามที่อัฟกานิสถาน แต่ก็ถือว่าเป็นประเทศที่มีโอกาสตกเป็นเป้าโจมตีจากผู้ก่อการร้ายน้อยมาก



อันดับที่ 2 - ประเทศเดนมาร์ก



เดนมาร์ก เป็นอีกหนึ่งประเทศในกลุ่มนอร์ดิก มีแผ่นดินหลักตั้งอยู่บนคาบสมุทรจัตแลนด์ ทิศเหนือจรดประเทศเยอรมนีซึ่งเป็นเพื่อนบ้านทางบกเพียงประเทศเดียว ส่วนบริเวณชายฝั่งมีพรมแดนจรดทะเลเหนือและทะเลบอลติก โดยมีประเทศนอร์เวย์อยู่ทางด้านทิศใต้ และประเทศสวีเดนอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้

เดนมาร์ก เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีความปลอดภัยและสงบสุขมากที่สุดในโลก ถึงแม้ว่าประเทศนี้จะมีคะแนน "ดัชนีความสงบสุขโลก" โดยรวมเท่ากับประเทศนิวซีแลนด์ แต่กลับถูกประเมินว่ามีโอกาสตกเป็นเป้าโจมตีได้มากกว่า ทั้งนี้เนื่องจากที่ผ่านมาเคยมีหนังสือพิมพ์เดนมาร์กตีพิมพ์ภาพการ์ตูนโมฮัม หมัด (ซึ่งเป็นการ์ตูนล้อเลียนโลกมุสลิม) จนตกเป็นข่าวเกรียวกราว และเดนมาร์กก็เคยมีส่วนร่วมรบในสงครามอิรักอีกด้วย



แม้ว่าในช่วงปี ค.ศ. 2006-2007 จะเคยเกิดเหตุรุนแรงกลางกรุงโคเปนเฮเก้น แต่เดนมาร์กยังคงได้รับความเชื่อมั่นว่าเป็นประเทศที่มีความปลอดภัย เนื่องจากมีความเคารพในสิทธิมนุษยชนสูง มีความเสมอภาคระหว่างชาย-หญิง ทั้งยังมีสถิติการเกิดคดีฆาตกรรมและอาชญากรรมรุนแรงในระดับต่ำมาก



อันดับที่ 1 - ประเทศนิวซีแลนด์



นิวซีแลนด์ หรือ "ดินแดนแห่งเมฆยาวสีขาว" เป็นประเทศที่ประกอบด้วยเกาะใหญ่ 2 เกาะ และเกาะเล็ก ๆ อีกจำนวนหนึ่งในมหาสมุทรแปซิฟิก

นิวซีแลนด์ ถือเป็นประเทศที่ตั้งโดดเดี่ยวห่างไกลจากประเทศเพื่อนบ้านมากที่สุด โดยประเทศที่อยู่ใกล้นิวซีแลนด์มากที่สุดคือ ออสเตรเลีย แต่ก็อยู่ห่างไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะใหญ่ราว 2,000 กิโลเมตร โดยมีทะเลแทสมันกั้นกลาง ดินแดนเดียวที่อยู่ทางตอนใต้ของนิวซีแลนด์ คือ ทวีปแอนตาร์กติกา ส่วนทางตอนเหนือ คือ นิวแคลิโดเนีย ฟิจิ และตองกา

ประเทศนิวซีแลนด์ เป็นที่เลื่องลือในหมู่นักท่องเที่ยวเรื่องทัศนียภาพที่งดงาม ไม่ว่าจะเป็นภูเขา ภูเขาไฟ ฟยอร์ด ทะเล ธารน้ำแข็ง โคลนเดือด ฯลฯ รวมทั้งวัฒนธรรมที่โดดเด่นหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมของชาวเมารี ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมือง และกิจกรรมที่ขึ้นชื่อของประเทศนี้ก็คือ กีฬาประเภทเอ็กซ์ตรีมต่างๆ



"Milford Sound" อีกหนึ่ง "ฟยอร์ด" อันเลื่องชื่อของนิวซีแลนด์


นิวซีแลนด์ ถือเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยมากที่สุดในโลกประจำนี้ เมื่อพิจารณาตาม "ดัชนีความสงบสุขโลก" เนื่องจากเป็นประเทศที่เคารพในสิทธิมนุษยชนสูงมาก ไม่มีอคติต่อชาวต่างชาติ สถานะทางการเมืองมั่นคง และมีความขัดแย้งภายในประเทศน้อยมาก


คำจำกัดความของคำว่า "ปลอดภัย" ในที่นี้:

"ดัชนีความสงบสุขโลก" หรือ "จีพีไอ" วัดจากสถิติคดีอาชญากรรม นโยบาลและความมั่นคงของรัฐบาล ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านตลอดจนนานาประเทศ ทัศนคติและข้อมูลต่างๆ ของประชากร ฯลฯ ซึ่งจะมีประเทศที่ถูกประเมินทั้งสิ้นจำนวน 144 ประเทศในแต่ละปี (ปีนี้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 118 ต่ำกว่า* ทุกประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยกเว้นพม่า)

* ประเทศสิงคโปร์ อยู่ในอันดับที่ 23 / มาเลเซีย 26 / เวียดนาม 39 / ลาว 45 / อินโดนีเซีบ 67 / กัมพูชา 105 / พม่า 126

ดัชนีดังกล่าว ยังพิจารณาถึง สถิติคดีฆาตกรรมต่อประชากร 1 แสนคน ความเสี่ยงในการตกเป็นเป้าโจมตีจากผู้ก่อการร้าย ความเป็นมิตรกับชาวต่างชาติ ระดับการศึกษาของประชาชน สถิติการว่างงาน ฯลฯ แต่ไม่นับรวมถึงสถิติการเกิดภัยพิบัติทางธรรรมชาติ


ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก: วิกิพีเดีย