วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

10 อันดับ "สวรรค์บนดิน" ตอนที่ 1 


โลกใบนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามมากมาย นอกจากจุดหมายปลายทางสุดฮอต เช่น อิตาลี ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ มัลดีฟส์ บาหลี ฮาวาย ฮ่องกง กระบี่ ภูเก็ต ฯลฯ ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกรู้จักกันดีแล้ว ยังมีสถานที่สวยงามหลายแห่งที่ถูกโลก (นักท่องเที่ยว) ลืม หรือแทบไม่เคยถูกกล่าวถึงตามสื่อต่างๆ เลยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

อาสค์เมน ดอทคอม เผย 10 อันดับ "สวรรค์บนดิน" ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสถานที่ห่างไกล เป็นเขตอนุรักษ์ หรือไม่ก็เป็นเขต (เคยถูก) หวงห้าม หลายแห่งความศิวิไลซ์ยังเข้าไปไม่ถึง ทั้งมีความเงียบสงบ สภาพแวดล้อมอุดมสมบูรณ์ และมักไม่ค่อยเป็นที่รู้จักแพร่หลาย ซึ่งผู้เขียนต้นฉบับแอบสารภาพว่า รู้สึกผิดเล็กน้อยที่นำสถานที่เหล่านี้มาเปิดเผยให้ทุกคนทราบ


10. เกาะ Vieques ประเทศเปอร์โตริโก



เกาะ Vieques หรือ "Isla Vieques" แห่งนี้ ถูกกองทัพเรือสหรัฐเข้ายึดครองนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1941-2003 (พ.ศ. 2484-2546) ตลอดระยะเวลาเกือบ 70 ปี เกาะแห่งนี้ถูกทหารเรืออเมริกันใช้เป็นสถานที่ฝึกปฏิบัติการณ์ด้านการทหาร และทดสอบอาวุธยุทโธปกรณ์ รวมทั้งการทดสอบกระสุนบรรจุอัลลอยด์ที่มี "depleted uranium" สามารถยิงทะลุทะลวง ทำลายจรวด รถถัง และยานเกราะได้




ด้วยเหตุนี้ ในระหว่างที่กองทัพเรือสหรัฐมาประจำการอยู่ที่นี่ เกาะที่เคยสงบ สวยงาม ทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ จึงกลายสภาพเป็นเกาะที่อุดมไปด้วยมลพิษ และมีอัตราการเกิดโรคมะเร็งสูง (กองทัพเรือสหรัฐครอบครองพื้นที่เกาะ 70% ส่วนอีก 30% เป็นที่อยู่อาศัยของคนพื้นเมือง)

หลังจากชาวบ้านที่ทำงานเป็นลูกจ้างให้กองทัพเรือเสียชีวิตอันเนื่องมาจากการ ยิงระเบิดพลาดเป้า บรรดาชาวเกาะและชาวเปอร์โตริโกบนผืนแผ่นดินใหญ่ ตลอดจนบรรดานักสิ่งแวดล้อม และนักรณรงค์ทั่วโลก (รวมทั้งชาวอเมริกัน) จึงออกมาเคลื่อนไหวกดดันให้กองทัพเรือสหรัฐหยุดทดสอบขีปนาวุธ ในที่สุดกองทัพเรือสหรัฐจึงประกาศยุติภารกิจต่างๆ บนเกาะแห่งนี้ และถอนกำลังออกจากพื้นที่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2003

แม้จะเคยถูกใช้เป็นสถานที่ทดสอบอาวุธร้ายแรงบริเวณปลายสุดทางด้านตะวันออก แต่พื้นที่ส่วนใหญ่บนเกาะ (เนื้อที่กว่า 8.3 หมื่นไร่) แห่งนี้ ยังคงเต็มไปด้วยผืนป่าและภูเขาเขียวชอุ่ม อุดมสมบูรณ์ มีหาดทรายสีขาวเป็นแนวยาวหลายแห่ง และไม่เคยถูกมนุษย์เข้าไปรบกวนนานเกือบ 70 ปี





ปัจจุบัน เกาะแห่งนี้เป็นของกรมประมงและสัตว์ป่าแห่งชาติสหรัฐ แต่บริหารจัดการโดยทางการเปอร์โตริโก หลังทหารเรืออเมริกันออกจากเกาะ พื้นที่ธรรมชาติที่เคยเป็นเขตหวงห้ามและไม่เคยมีใครแตะต้องมานานก็ถูกเปิด ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปสำรวจตรวจตราได้อย่างเต็มที่ ยกเว้นส่วนที่เคยใช้เป็นสถานที่ทดสอบอาวุธซึ่งถูกปิดตายไม่ให้ใครเข้า เนื่องจากเกรงว่าจะมีสารพิษปนเปื้อนตกค้างอยู่ในดินนั่นเอง

บนเกาะแห่งนี้มีโรงแรมสุดเก๋ชื่อ "Bravo Beach Hotel" แต่ที่นั่นไม่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีเด็กมาด้วย เพราะแขกที่มาเข้าพักจะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี ทั้งนี้เพื่อให้มีบรรยากาศที่สงบเงียบ เหมาะสำหรับใช้เป็นสถานที่ปลีกวิเวกอย่างแท้จริง



9. หมู่เกาะเฟอร์นันโด (Fernando de Noronha) ประเทศบราซิล



ดูเหมือนว่าอะไรก็ตามที่เข้าถึงยาก ย่อมเป็นที่สนใจและน่าค้นหาเสมอ หมู่เกาะเฟอร์นันโด ของประเทศบราซิลก็เช่นเดียวกัน

หมู่เกาะเฟอร์นันโด อยู่ห่างจากชายฝั่งทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศบราซิลราว 200 ไมล์ (322 ก.ม.) ประกอบด้วยเกาะใหญ่น้อยจำนวน 21 เกาะด้วยกัน และเพื่อป้องกันไม่ให้หมู่เกาะแห่งนี้บอบช้ำหรือถูกทำลายจากการมาเยือนของ นักท่องเที่ยว จึงอนุญาติให้เข้าไปเยือนได้คราวละไม่เกิน 240 คนเท่านั้น ที่สำคัญไปถึงแล้วนักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องจ่าย "ภาษีสิ่งแวดล้อม" ด้วย





ในแถบนี้มีเพียงเกาะหลักเท่านั้นที่มีประชาชนอาศัยอยู่ และเป็นเกาะที่นักท่องเที่ยวจะได้พักอาศัยในบูติกเกสต์เฮ้าส์สไตล์แปลก แต่สำหรับผู้ที่ชอบความหรูหรา สะดวกสบาย ต้องไปพักที่โรงแรม Pousada Maravilha เพราะที่นั่นจะมีบังกาโลที่หันหน้าออกสู่มหาสมุทรแอตแลนติกไว้คอยบริการ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

อย่างไรก็ตาม นอกจากการดำน้ำ ว่ายน้ำ เล่นเซิร์ฟ เดินชมธรรมชาติของป่าเขา และชมพระอาทิตย์ตกแล้ว บนเกาะแห่งนี้ก็แทบไม่มีอะไรอื่นๆ ให้ทำมากนัก จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการมาพักผ่อนอย่างเงียบสงบท่ามกลางธรรมชาติอันอุดม สมบูรณ์





หมายเหตุ: ในอดีตที่นี่เคยถูกใช้เป็นสถานที่กักกันนักโทษ แต่ปัจจุบันได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก เนื่องจากมีสัตว์ทั้งในน้ำและบนบกชุกชุม อาทิ ปลาโลมา (เป็นจำนวนมาก) เต่าทะเล นกนานาชนิด ฯลฯ ในจำนวนนี้มีสัตว์บางชนิดที่กำลังเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์



8. Morzine ประเทศฝรั่งเศส



สวรรค์บนดินที่เป็นดินแดนแห่งป่าสนดังที่เห็นในภาพ คือ หมู่บ้านในประเทศฝรั่งเศสที่มีชื่อว่า "Morzine" ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใจกลาง "Portes du Soleil"* ระหว่างยอดเขามองต์บลังก์และทะเลสาปเจนีวาของประเทศสวิตเซอร์แลนด์

* Portes du Soleil คือ แหล่งสกีที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลบริเวณเทือกเขาแอลป์ อันเป็นที่ตั้งของสกีรีสอร์ททั้งที่อยู่ในประเทศฝรั่งเศสและสวิตเซอร์แลนด์

"Morzine" เป็นหมู่บ้านที่รายล้อมไปด้วยป่าสนบนความสูงระดับ 1,000 เมตร ซึ่งถือเป็นย่านสกีรีสอร์ทที่อยู่ในระดับต่ำ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นหัดเล่นสกี หรือเล่นสกีในช่วงที่สภาพอากาศไม่เป็นใจ ทำให้ผู้มาเยือนและแวะพักในหมู่บ้านแห่งนี้ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวที่มา พักผ่อนกันเป็นครอบครัว ส่วนผู้ที่มาเพื่อเล่นสกีโดยเฉพาะมักจะผ่านเลยไปยังสกีรีสอร์ทที่อยู่สูง ขึ้นไป





หมู่บ้านแห่งนี้มีโรงแรมเล็กๆ น่าพักหลายแห่ง ซึ่งผู้มาเยือนจะได้สัมผัสกับวิถีชีวิตในแบบดั้งเดิมของคนท้องถิ่น แต่ก็ได้รับความสะดวกสบายสไตล์โมเดิร์นในขณะเดียวกัน ทั้งยังมีอากาศที่บริสุทธิ์มากๆ ช่วงหน้าหนาวทั้งหมู่บ้านจะเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน แต่ในช่วงฤดูอื่นๆ หมู่บ้านแห่งนี้จะเขียวชอุ่มไปด้วยทุ่งหญ้าและป่าสน

นอกจากสกีแล้ว หมู่บ้านแห่งนี้ยังมีกิจกรรมกลางแจ้งอื่นๆ อีกมากมายให้เลือกทำ ไม่ว่าจะเป็นการปั่นจักรยาน เดินทางไกล เล่นไอซ์สเก็ต หรือแม้กระทั่งการตีกอล์ฟ เป็นต้น




แต่ถ้าใครไม่อยากเคลื่อนไหวหรือใช้พลังงานในช่วงกลางวันมากนัก ก็สามารถนอนพักผ่อน นั่งชมวิว หรืออ่านหนังสือหน้าเตาผิง เพื่อออมแรงไว้ตะลุยราตรีในยามค่ำคืนตามบาร์ต่างๆ ซึ่งจะมีวงดนตรีคอยขับกล่อม สลับกับดีเจรับเชิญในบางโอกาส ส่วนคอกีฬาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะพลาดการแข่งขันนัดสำคัญ เพราะตามบาร์จะมีจอขนาดใหญ่ให้นักท่องราตรีที่มีกีฬาในหัวใจได้ร่วมเชียร์ และชมไปพร้อมๆ กัน



7. เขตอนุรักษ์สัตว์ป่าทอร์นี่บุช สาธารณรัฐแอฟริกาใต้



เขตอนุรักษ์สัตว์ป่าทอร์นี่บุช ตั้งอยู่ใจกลางย่านโลว์เวลด์ ติดกับอุทยานแห่งชาติครูเกอร์ ถึงแม้ว่าจะตั้งอยู่กลางป่าเขาที่มีสัตว์ป่าชุกชุม แต่ที่นี่ก็เป็นสถานที่พักผ่อนและท่องซาฟารีสุดหรูระดับ 5 ดาว ที่มีบ้านพักให้เลือกหลากหลาย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

ถ้าใครชอบใช้ชีวิตแบบลุยๆ กลางป่าเขาแต่ไม่วายติดหรู ต้องเลือกที่พักแบบ "Chapungu Luxury Tented Camp" (ถึงจะเรียกเต็นท์แคมป์ แต่ความจริงแล้วเป็นบ้านไม้ลักษณะคล้ายกระท่อม ภายในหรูหรา และมีสิ่งอำนวยความสะดวกแบบเต็มพิกัด รวมทั้งอ่างจากุชชี่) ซึ่งผู้มาเยือนจะได้สัมผัสบรรยากาศการตกแต่งห้องพักสไตล์แอฟริกันขนานแท้ใน ยุคล่าอาณานิคม แต่จะเปิดให้เข้าพักได้ครั้งละไม่เกิน 16 คน (มีทั้งหมด 8 หลัง) และผู้เข้าพักต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 12 ปีเท่านั้น




หรือจะเลือกพักในบ้านสุดหรูหลากสไตล์ ที่ได้มาตรฐานระดับโรงแรม 5 ดาว แล้วรอดูพระอาทิตย์ตกขณะแช่น้ำร้อนบนระเบียงส่วนตัว ซึ่งถ้าโชคดีก็อาจได้เห็นสัตว์ป่าออกมาเดินเพ่นพ่านให้ชมถึงที่ แต่ถ้ารู้สึกเหนื่อยล้าหลังนั่งรถจิ๊ปท่องซาฟารีไล่ล่า (ถ่ายรูป) บิ๊กไฟว์* กันมาทั้งวัน ที่นี่ก็มีสปาหรูระดับเวิลด์คลาส (อามานี่ สปา) ไว้คอยบริการเช่นกัน

* บิ๊กไฟว์ ได้แก่ สัตว์ป่าที่นักท่องซาฟารีมักพบเจอตัวได้ยาก ประกอบด้วย ช้างป่า สิงโต ควายป่า เสือดาว แรดขาว และแรดดำ






6. Algonquin Park ประเทศแคนาดา




อุทยาน Algonquin ตั้งอยู่ในรัฐออนตาริโอ ห่างจากเมืองโตรอนโตเพียง 3 ช.ม. (ทางรถยนต์) อุทยานแห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ มีพืชพรรณและสัตว์ป่าหลากหลาย อาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลบนเนื้อที่ 7,630 ตารางกิโลเมตร

ภายในอุทยานประกอบด้วยป่าสน แม่น้ำลำธารหลายสาย และอีกกว่า 2,400 ทะเลสาป ทั้งยังมีจุดตั้งแคมป์ ที่พัก สำนักอุทยาน พร้อมด้วยสัตว์ป่านานาพันธุ์





นอกจากการตั้งแคมป์แล้ว การเข้าพักในบ้านพักที่พรั่งพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก บนทำเลที่สวยงามก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ โดยเฉพาะล็อกเคบิน "Killarney Lodge" ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหมู่ไม้ ริมทะเลสาปซึ่งเต็มไปด้วยปลาเทราท์ ส่วนกิจกรรมที่น่าสนใจก็คือ การว่ายน้ำ ตกปลา เดินป่า พายเรือแคนู และถ้าโชคดีก็อาจได้เจอกวางมูสและตัวบีเวอร์ แต่ถ้าโชคไม่ดีนักก็อาจได้เจอหมีดำที่อาศัยอยู่ในอุทยานราว 2 พันตัว




- โปรดติดตามตอนต่อไป - 

ขอบคุณข้อมูลจาก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น